นายขวัญชัย ณัฎฐเศรษฐ์กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่คัลเล่อร์จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกผสมสีและสารเติมแต่งแบบเข้มข้น หรือเม็ดพลาสติกมาสเตอร์แบตซ์ และเม็ดพลาสติกคอมพาวด์ รวมถึงสีผสมพลาสติกแบบชนิดผง เผยว่าหลังจากที่บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขาย หุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ขณะนี้ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. แล้ว
"แต่เราไม่รีบร้อนที่จะต้องนำหุ้นออกมาขายในช่วงนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เราตั้งใจที่จะเป็นบริษัทแรกที่ขายหุ้นไอพีโอของปีนี้เป็นบริษัทแรก แต่ไม่เป็นไร เพราะเราอยากให้ตลาดหุ้นนิ่งและสดใสมากกว่านี้ก่อน ผมมองว่าระยะนี้ยังผันผวนแต่ก็ถือเป็นสีสันของตลาดหลักทรัพย์ ผมอยากให้เราเข้าไปแล้วได้รับการต้อนรับที่ดี ดีกว่าไปแล้วผิดหวัง"
นายขวัญชัย กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการให้ที่ปรึกษาการเงินคือบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ ทำข้อมูลเพื่อการขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางเดือนพฤษภาคมนี้ที่จะได้ราคาขายได้ ก่อนที่จะเปิดให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ในเดือนมิถุนายนและคาดว่าจะเข้าซื้อขายในเดือนเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ทยอยเดินสายโรดโชว์เพื่อให้เป็นที่รู้จักของนักลงทุนด้วย
"ผมก็ทำเรื่อยๆ ออกไปทำความรู้จักกับหลายๆ ทางครับ และหุ้นที่เสนอขายนี้เราจะแบ่งให้แก่ผู้มีอุปการคุณด้วยบางส่วนครับ ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็จะไดลูตลงไปฝ่ายละ 20% ซึ่งปัจจุบันวีไอวี อินเตอร์เคมถือหุ้น21.69% และสาลี่อุตสาหกรรมถือหุ้น10.85% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ และอาจมีออปชันแบบลดราคาให้แก่นักลงทุนที่จองซื้อหุ้นด้วยครับแต่จะเท่าไหร่ก็ต้องมาว่ากันอีกที อยู่ที่บทสรุปของที่ปรึกษาการเงินครับ"
โดยสาลี่คัลเล่อร์จะนำหุ้นเพิ่มทุนใหม่ดังกล่าว เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ หรือ mai และเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ประมาณ 70% บริษัทจะนำไปใช้ในการซื้อเครื่องจักรเพื่อโครงการขยายกำลังการผลิตมาสเตอร์แบตซ์ประเภทสีดำ หลังพบว่าเมื่อปี 52 แนวโน้มความต้องการใช้สูง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมท่อน้ำ บรรจุภัณฑ์เกษตร ยานยนต์ ฯลฯ ซึ่งบริษัทได้สั่งซื้อเครื่องจักรแล้ว คาดว่าจะส่งมอบได้ช่วงเดือนมิถุนายนปี 54 และเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนสิงหาคมมูลค่าการลงทุนประมาณ 70 ล้านบาทซึ่งเครื่องจักรใหม่มีกำลังการผลิต8,000 ตันต่อปี ส่วนเงินที่เหลือจะใช้ในการดำเนินงาน
สำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาเม็ดพลาสติกที่เป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทในการผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น หากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและบริษัทไม่สามารถปรับราคาขายสินค้าได้ แต่บริษัทได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด และยังคงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากมีการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศด้วย