Stock is everything in your life. Buy Dividend Stock Only.
"การลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า"
ลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีกำไร มีปันผลสูงสุด 5 อันดับ และหุ้นรายได้มั่นคง
วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554
DTAC สร้างฐานรอผ่าน 45
MCOT ปิดสูงสุดในรอบ 3 เดือน รอผ่าน 30.25 สู่เป้าใหม่ 42
วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554
CPALL แนะรอซื้อแถว 35-31
BSBM เป้าหมาย 1.76 ขึ้นไป ปันผลมากกว่า 8%
วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554
FANCY 2.02-2.06 โอกาสทองหรือเปล่า
SYMC แรงขายยังไม่หมด หรือหุ้นไม่มีเสน่ห์
CFRESH เล่นทางซื้อเพื่อรับเงินปันผล 0.50 บาท ผลตอบแทนมากกว่า 10%
วันนี้ข่าวหุ้นได้ลงข่าวว่า บล.ซิกโก้ แนะนำหุ้น บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ CFRESH โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนลง ทำให้คำสั่งซื้อใน FY11E เพิ่มขึ้นอีก SSEC มองว่า การส่งออกกุ้งไทยใน FY11E เติบโตไม่ต่ำกว่า 20%YoY จากเหตุผลหลักอันได้แก่
1) ปริมาณส่งออกกุ้งจากอินโดนีเซียที่ลดลงจากโรคระบาด
2) สภาพอากาศที่แปรปรวนมากในอินเดียและจีน ทำให้ผลผลิตกุ้งเสียหาย
3) ประโยชน์ที่จะได้จากข้อตกลงการค้า AFTA ซึ่งล้วนส่งผลดีกับ CFRESH เพราะจะมีคำสั่งซื้อสูงขึ้น
นอกจากนี้เงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของกุ้งส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย โดยสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ อยู่ที่ 30% ส่วนปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป คาดจะไม่กระทบส่งออก เพราะปริมาณกุ้งส่งออกทั่วโลกที่ลดลง ขณะที่ใน FY11E การส่งออกกุ้งไปญี่ปุ่นมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการขายสินค้าถึง End User ได้มากขึ้น โดยเป็นผลให้คาดยอดขายใน FY11E จะเติบโตได้ตามเป้าหมายบริษัทที่ 30%YoY
การทำ Contract Farming ช่วยลดความเสี่ยงต้นทุน และคำสั่งซื้อ ปริมาณผลผลิตกุ้งใน FY11E คาดจะปรับลดลง เป็นผลให้ระดับราคากุ้งสูงขึ้นมาก ทั้งนี้ SSEC มองว่า การทำ Contract Farming ถึง 70-80% จากกำลังผลิตต่อปีของ CFRESH จะช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุน และความสามารถในการส่งมอบสินค้าได้ตามคำสั่งซื้อ ขณะที่ แผนการย้ายโรงงานผลิตเพื่อให้เหมาะสมกับกำลังการผลิตมากขึ้น จะส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) และทำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนการบำรุงรักษาลดลง แต่อย่างไรก็ดี การปรับมาตรฐานบัญชีใหม่ใน FY11E จะทำให้ CFRESH มีค่าใช้จ่ายจากผลประโยชน์พนักงานที่ต้องตั้งไว้สูงขึ้นมาประมาณ 8-9 ลบ.
ไม่มีแผนลงทุนใหญ่ ๆ คาดจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 0.50 บาท/หุ้น กระแสเงินสดที่มีอยู่ปัจจุบันกว่า 300-400 ลบ. ของ CFRESH และใน FY11E ไม่มีแผนขยายโรงงานใหม่ หรือการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ทำให้ SSEC คาดการประกาศจ่ายเงินปันผลของผลประกอบการ FY10E จะไม่ต่ำกว่า 0.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งหากคิดเป็น Dividend Yield จะเท่ากับ 10.3%
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม FY11E เท่ากับ 6.00 บาท ราคาเหมาะสม FY11E เท่ากับ 6.00 บาท จากอิง Prospective PER ที่ 12 เท่า ซึ่งการประมาณค่า PER สูงกว่าการซื้อขายในปัจจุบันนั้น มาจากแนวโน้มราคาและยอดขายกุ้งใน FY11E ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ เมื่อเทียบราคา ณ ปัจจุบันกับราคาเหมาะสมให้ผลตอบแทนรวมเท่ากับ 34.3% โดยมี Upside Gain ถึง 24.0% จึงแนะนำ “ซื้อ
ที่มา ข่าวหุ้น
12.01.2554
วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554
ลุ้น MCOT ทำนิวไฮรอบปี ที่ 30.75บาท
วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554
SET สัปดาห์แรกของปี 2554 ปิดที่ 1036.45
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554
TVO ลุ้นผ่าน 35.25 ไฮเดิม
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554
DTAC ปิดวันนี้ 43.50 กลับมาบวกได้ มีลุ้นผ่าน 45 (update)
STPI การฟื้นตัวเริ่มชัดขึ้นหลังยืน 29.00 บาทได้
ราคายางขึ้นอย่างรุนแรง...เข้าซื้อ STA, TRUBB
ข่าวด้านการเงินการลงทุนทั่วโลกต้องที่ http://www.bloomberg.com/markets/
นำมาฝากสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการข้อมูลตลาดหุ้นทั่วโลกที่ดี และเข้าถึงได้ง่ายต้องที่นี่ที่เดียว http://www.bloomberg.com/markets/ ลองเข้าไปดู มีหุ้นไทยต้องเสิร์ซเอาครับ แต่จะลงท้ายด้วย .tb
วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554
MCOT รอลุ้นผ่าน 30 บาท (update)
สัญญาณทางเทคนิคยังเป็นขาขึ้น น่าจะผ่าน 30 บาทได้ในเร็ววัน...แนวรับ 28.75-29.00 แนวต้่านไม่มี..เป้า 30-33
นายเขมทัตต์ พลเดช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาดบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4/53 ที่ผ่านมา ทางบริษัทมีอัตราการใช้เวลาโฆษณา (utilization) เติบโตในระดับสูง โดยช่วงไพร์มไทม์มีอัตราutilization เต็มจำนวน ขณะที่ช่วงนอนไพร์มไทม์มากถึง 90%
“ในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เรตติ้งของช่องเรายังตัวดีอยู่ และบางรายมีการขยับดีขึ้น โดยช่วงไพร์มไทม์มี utilization เต็มจำนวน และช่วงนอนไพร์มไทม์สูงถึง 90% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ทางบริษัทได้มีการนำเสนอรายการที่ได้รับความนิยม กระจายออกในหลายช่วงเวลา”นายเขมทัตต์กล่าว
ทั้งนี้ เม็ดเงินโฆษณาทั้งอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.อยู่ที่ระดับ 9,421 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยแบ่งเป็นเม็ดเงินใน โทรทัศน์ 5,466 ล้านบาท วิทยุ 592 ล้านบาท หนังสือพิมพ์ 1,526 ล้านบาท นิตยสาร 473 ล้านบาท โรงภาพยนตร์ 698 ล้านบาท สื่อกลางแจ้ง 335 ล้านบาท สื่อเคลื่อนที่ 200 ล้านบาท สื่อภายในร้าน 102 ล้านบาท อินเตอร์เน็ท 30 ล้านบาท ส่วนตัวเลขทั้งอุตสาหกรรมรวม 11 เดือนอยู่ที่ 91,732 ล้านบาท โตขึ้น 11.9% จากปี 52 ที่ได้ 81,952 ล้านบาท
โดยนายเขมทัตต์ ยังกล่าวอีกว่า บริษัทได้เตรียมประกาศผังรายการใหม่ในช่วงประมาณเดือนก.พ.-มี.ค.และมีการปรับเพิ่มราคาโฆษณาขึ้นเฉลี่ย 10% เน้นการนำเสนอรายการทั้งเชิงบันเทิง สาระ และบันเทิงสาระ อีกทั้ง ยังวางแผนที่จะพัฒนาตัวรายการให้มีความโดดเด่นมากขึ้นเพื่อลดสัดส่วนรายการของนอนไพร์มไทม์
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาในปี 54 คาดการณ์ว่า ในสื่อโทรทัศน์จะยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากช่วงปี 53 แต่จะเป็นการเติบโตที่กระจุกตัว เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่จะยังคงหมุนเวียนอยู่ภายในสื่อโทรทัศน์ช่องหลักเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่างนับเป็นปัจจัยที่ส่งผลประโยชน์ต่อทาง MCOT เนื่องจากมีเรตค่าโฆษณาที่ยังน้อยกว่าทางคู่แข่งจึงมีช่องว่างที่จะขึ้นค่าโฆษณาได้อีก <ที่มาข่าวหุ้น>
DTAC ผ่าน 43.00 แนวโน้มดีขึ้น ถ้าผ่าน 45 จะไปแรง
จับตามาตรการคุมหุ้นเทรดร้อนแรงผิดปกติ
ตลท.จ่อออกมาตรการคุมการซื้อขายตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น โดยเตรียมจับตาหุ้นที่หวือหวาหรือร้อนแรงผิดปกติ เพื่อแจ้งให้นักลงทุนทราบทันท่วงที วันนี้ (5 ม.ค.) นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์มีแผนที่จะเพิ่มมาตรการดูแลการซื้อขายหุ้น โดยการแจ้งเตือน (Alert) ในระบบข่าวที่เผยแพร่ให้แก่นักลงทุนด้วยการระบุชื่อหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติในแต่ละวันซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าควรเปิดเผยข้อมูลหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ในระหว่างวัน หรือ ณ สิ้นวันเพื่อให้นักลงทุนได้ทราบ เพื่อระมัดระวังในการลงทุนซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานกำกับการซื้อขายเพื่อให้เกณฑ์การดูแลเป็นไปในทิศทางเดียวกับในต่างประเทศ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์จะพยายามให้เกิดขึ้นได้ในปี 2554 “ในตลาดหุ้นต่างประเทศเช่นไต้หวันและมาเลเซียก็มีการแจ้งเตือนนักลงทุนหากหุ้นเคลื่อนไหวผิดปกติแต่ลักษณะที่เราจะใช้คงไม่ถึงกับขึ้นเครื่องหมายแต่คงขึ้นเป็นข่าวมากกว่าโดยจะระบุเลยว่ามีหุ้นใดบ้างที่เคลื่อนไหวผิดปกติ” นายศักรินทร์ กล่าว นอกจากนี้ เพื่อเป็นการปรับตัวให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ที่ตลาดหลักทรัพย์จะต้องแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเพื่อเอื้ออำนวยให้สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถทำหน้าที่เป็นองค์กรกำกับดูแลตนเอง(Self-Regulatory Organization :SRO) ควบคุมการทำงานของสมาชิกได้ ดังนั้น ในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.). เรื่องขอบเขตการกำกับการดูแลการซื้อขาย การกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และการกำกับบริษัทหลักทรัพย ให้มีความชัดเจน และไม่ทำงานซ้ำซ้อน เพื่อเพิ่มคุณภาพของตลาดทุนไทยให้เป็นที่ยอมรับของนักลงทุนต่างชาติมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ก็จะยังคงทำหน้าที่กำกับดูแลการซื้อขายที่เกิดขึ้นในตลาด เพื่อควบคุมไม่ให้มีการส่งคำสั่งที่ไม่เหมาะสม และสร้างความเสี่ยงให้กับระบบการซื้อขาย รวมถึงดูแลการชำระราคาหลักทรัพย์ (เคลียริ่ง) เพื่อไม่ได้มีการผิดนัดชำระราคา และเกิดความไม่เป็นธรรมในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ที่มา manager online) |
STPI พุ่ง ผ่าน 29 บาท รอทะลุ 30 ไปต่อแน่
ZMICO เตรียมดัน IPO การไฟฟ้าลาว
“เคทีซีมิโก้” รุกตลาดหุ้นลาว หวังโกยรายได้ปี 54 ไม่หวั่นเจอเกมแข่งดุ 11 ม.ค.นี้ เตรียมดัน IPO การไฟฟ้าลาวดีลครั้งแรกมูลค่า 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เชื่อคว้างานใหญ่สำเร็จ หลังโบรกเกอร์มั่นใจเห็น 2.12 บาทแน่ วันนี้ (5 ม.ค.) นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์เคที ซีมิโก้ (KT ZMICO) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 2554 มั่นใจว่าจะเติบโตค่อนข้างมากจากปี 2553 เพราะเป็นปีที่บริษัทจะบันทึกรายได้จากธุรกิจในประเทศลาวมากขึ้น และสัดส่วนธุรกิจดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีด้วย ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นการกระจายรายได้ เพื่อรองรับการเปิดเสรีปี 2555 ด้วย เพื่อนำไปสู่แหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าโดยตลาดหุ้นลาวมีอัตรา ค่าคอมมิสชันสูงกว่า 2% และการแข่งขันยังไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยมีอัตราค่าคอมมิสชันเฉลี่ย 1.5% เท่านั้น แต่การแข่งขันกลับสูงมาก โดยหลังจากบริษัทได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB เพื่อขยายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้นนั้นยังได้ร่วมทุนกับธนาคารการค้าต่างประเทศลาว (BCEL) ตั้ง “บริษัทหลักทรัพย์ ธกตล กรุงไทย จำกัด (BCEL-KT)” ซึ่งเป็นบริษัท JOINT VENTURE ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 30% โดยรับงานวาณิชธนกิจ (IB) ทุกชนิดในตลาดหลักทรัพย์ประเทศลาว ล่าสุด วันที่ 11 ม.ค.ที่จะถึงนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ธกตล กรุงไทย จำกัด (BCEL-KT) จะเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป (IPO) เป็นรายแรก คือ บริษัทการไฟฟ้าลาว มูลค่าประมาณ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างมากเนื่องจากเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศลาว รวมทั้งในช่วงไตรมาส 1/2554 นี้บริษัทจะยังมีงาน IB อยู่หลายดีลซึ่งเป็นทั้ง IPO และ การควบรวมกิจการ (M&A) เป็นต้น เพราะทางตลาดหุ้นลาวเองจะเริ่มนำบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางทยอยเข้าจดทะเบียนในตลาดมากขึ้น สำหรับทางบริษัทมั่นใจอย่างมากว่า BCEL-KT จะได้รับงานขนาดใหญ่และขนาดกลางค่อนข้างมาก เนื่องจากบริษัทมีความได้เปรียบด้านจำนวนฐานลูกค้าที่มาจาก KTB ซึ่งมีเครือข่ายอยู่หลายประเทศรวมถึงมีสาขาในประเทศลาวด้วย รวมทั้งยังเป็นพาร์ตเนอร์กับ BCEL ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศลาว โดยมีสาขา 17 แห่งและปัจจุบันทาง BCEL ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลาวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาแล้วด้วย “บริษัทมีความได้เปรียบอย่างมากที่จะได้รับงานที่เป็นดีลขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นลาว แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีคู่แข่งเข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อย่างบริษัทหลักทรัพย์เวียดนาม และ เกาหลี แต่บริษัทมีความได้เปรียบกว่าทั้งทางด้านฐานลูกค้าและพาร์ตเนอร์ที่เป็นแบงก์ขนาดใหญ่ในลาว” นายชัยภัทร กล่าว นายชัยภัทร กล่าวอีกว่า แม้ว่าบริษัทจะพยายามกระจายรายได้ไปในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อรองรับการเปิดเสรี แต่บริษัทมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนพนักงานที่ไม่เพียงพอจึงทำให้ไม่สามารถขยายธุรกิจได้มากนัก ทั้งนี้บริษัทได้ตั้งเป้ากระจายรายได้ไปในประเทศแถบอินโดจีนมากขึ้นในเร็วๆ นี้ ส่วนจะสามารถถือครองมาร์เก็ตแชร์ได้ถึง 30% หรือไม่นั้นยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ซึ่งการกระจายรายได้ดังกล่าวจะยิ่งสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกๆ ปี สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2553 คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีตามมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากไตรมาส 3/2553 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 31.09 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิและรายได้รวมทั้งปี 2553 จะดีกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เพราะมีรายได้จากงาน IB ค่อนข้างมาก ประกอบกับได้มีการออก DW ด้วย ขณะที่ปีนี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2 ผลิตภัณฑ์ นายกฤษณ์ สุวรรณพิบูลย์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น KT ZMICO ในระยะสั้นๆ เกิดสัญญาณการฟื้นตัว โดยมีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 1.91 บาท และ 2 บาทตามลำดับ ทั้งนี้ จากก่อนหน้านี้ หุ้น KT ZMICO ทำการเปิด Falling Gap และหุ้นเกิดการแกว่งตัวในกรอบแคบๆเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ แต่ปัจจุบันหุ้นสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ ดังนั้น มีโอกาสปิด Falling Gap และทดสอบที่เป้าหมาย 2.12 บาท ได้ <ที่มา manager online> ราคาปิดวันนี้ 1.81 บาท วอลุ่มไม่มาก ราคายังต่ำกว่า BOOK VALUE ก็น่าสนใจครับ ซื้อได้ |
วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554
พอร์ตการลงทุนปี 2554
ในส่วนตัวของผมคิดว่า ปัจจัยเงินทุนไหลเข้าเป็นเรื่องชั่วคราว ค่าเงินบาทแข็ง 29.50 บาท และเงินเฟ้อจากการปรับขึ้นค่าแรงและราคาสินค้าราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก ดังนั้น การลงทุนน่าจะเริ่มจากหลักการเดิมๆ คือ
- แนวโน้มอุตสาหกรรม ต้องเป็นขาขึ้น เช่นพลังงาน, ค้าปลีก, โรงพยาบาล, สื่อสิ่งพิมพ์ อุตสาหกรรมอาหาร กุ้งแช่แข็ง
- หุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่า ต้องมองที่ราคาปัจจุบัน เทียบกับ Book Value ถ้าน้อยกว่าหนึ่งก็ยังพอได้
- เงินปันผลในระดับที่มากกว่า 8-10% ลองประเมินจากการจ่ายเงินปันผลย้อนหลังและดูผลการดำเนินงานปัจจุบันว่าดีขึ้นหรือแย่ลง ถ้าดีขึ้นโอเค
- มีสภาพคล่องพอสมควร การซื้อขายต้องมีต่อเนื่องและเป็นหุ้นที่เคลื่อนไหวส่วนต่างราคามากพออย่างน้อย 50% จากต่ำสุดไปสูงสุด
- สามารถเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นได้ เพราะท่านจะได้เห็นว่าผู้บริหารคิดอย่างไรในวันประชุม อันนี้ช่วยได้ถ้าเวลาหุ้นราคาตก เราจะซื้อเพิ่มหรือไม่ต้องดูองค์ประกอบหลากหลาย ผู้บริหารดี มีการดูแลเอาใจใส่ผู้ถือหุ้น ก็ควรถือหุ้นต่อไป