วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สัมมนาฟรี เจาะลึกธุรกิจเหล็ก

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ขอเชิญผู้ลงทุนและผู้สนใจร่วมเจาะลึกธุรกิจเหล็ก ในงาน “ตลาดนัดผู้ลงทุนไทย Thai Investors’ Day” ครั้งแรกของปี 2554 ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ. รัชดาภิเษก ในวันเสาร์ที่ 15 มกราคม 2554 เวลา 9.45-17.00 น

KTC น่าสนใจซื้อหรือยังที่ราคา 12.30 บาท

บัตรกรุงไทยหรือเคทีซี KTC เป็นหุ้นที่ผ่านยุครุ่งเรืองและตกต่ำมาหลายปี ขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถขึ้นมาแถวมูลค่าทางบัญชีที่ 24.60 บาทได้ เป็นเพราะยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตลดลงจากวิกฤติเศรษฐกิจและการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้ไม่สามารถทำกำไรเป็นจำนวนมากเหมือนก่อน

โอกาสที่ KTC จะปรับขึ้นไปยืนแถว 24.60 บาทมีหรือไม่ คงขึ้นกับผลการดำเนินงานและการจ่ายเงินปันผล เพราะคู่แข่งอย่าง AEONTS ยืนแถว 31.00-33.00 มาตลอด แต่ก็ลงมาจาก 50 บาทกว่าๆ ในหลายปีก่อน ส่วนโบรกมองขาย ให้ราคาเป้าหมายต่ำกว่า 10 บาท อันนี้ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายถ้าเราจะซื้อลงทุนไว้ เพราะ KTC ก็มีคนใช้จำนวนมาก และน่าจะพลิกกลับมาได้ในอนาคต

MCOT ปีหน้ารุ่ง โบรกให้เป้า 38 บาท

บมจ.อสมท.หรือ MCOT จัดว่าเป็นหุ้นปันผลที่จ่ายสมำ่เสมออย่างมาก ปีละประมาณ 1.80 บาทต่อหุ้น แบ่งจ่ายสองครั้ง ราคา ณ วันนี้ 29 บาท ซึ่งคิดว่าถูกกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรม และเป็นบริษัทที่รัฐถือหุ้นเยอะมาก จึงปลอดภัย ปีหน้าโครงการใหญ่ๆ ของอสมท.คือ digital TV ที่น่าจะมีการร่วมงานกับกลุ่มมือถือ DTAC เพราะว่า TRUE ก็มี TRUE VISION อยู่แล้ว

การแข่งขันส่งคอนเทนต์ถึงบ้าน กำลังจะมา การขายคอนเทนต์ผ่านระบบเครือข่าย digital TV กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองไทย ความคมชัดที่มากกว่า สัญญาณดาวเทียม และแบบเดิม เข้าอินเทอร์เน็ตได้ ด้วยกล่องๆเดียว ...นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นและ ผลตอบรับจะดีหรือไม่อย่างไร ต้องติดตาม และ MCOT จะเป็นรายแรกที่ให้บริการ Digital TV เต็มรูปแบบ จะสังเกตว่าช่องที่แพร่ภาพแบบดิจิตอลจะคมชัดมากกว่าระบบเดิม

ประกอบกับการขยายฐานผู้ชม และการปรับขึ้นค่าโฆษณาได้อีก 5-8% ทำให้โบรกประสานเสียงให้เป้าหมายราคาที่ เหนือ 35 บาท สูงสุดมี 40 กว่าบาท เพราะฉะนั้น ซื้อเก็บลงทุนไว้ในพอร์ตจะดีที่สุด.. BUY MCOT

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ssi ซื้อเพื่อรอการฟื้นตัวหลังเพิ่มทุน ราคาแถว 1.44-1.50 ตำ่เกินไป

นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการเพิ่มทุน โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนรวมไม่เกิน 5,240 ล้านหุ้นและวิธีการจัดสรร และให้นำเสนอการเพิ่มทุนและการจัดสรรต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 25 ม.ค.2554 เพื่อระดมเงินทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท สำหรับเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ และเตรียมความพร้อมด้านเงินทุนเพื่อการเข้าทำรายการซื้อสินทรัพย์โรงงานถลุงเหล็ก Teesside Cast Products ตามที่ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2553 กับ Tata Steel UK Limited ( เดิมชื่อว่า Corus UK Limited)

การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 2,620 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่( Right Offering หรือ RO) ในอัตราจัดสรร 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ สามารถจองซื้อเกินสิทธิได้ โดยส่วนจองซื้อเกินสิทธินี้จะได้รับการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้นจนหมด หากมีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมจะนำไปจัดสรรและเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด โดยกำหนดราคาเสนอขายในช่วงระหว่าง 1.20 ถึง 1.40 บาทต่อหุ้น และ 2. การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 2,620 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด ( Private Placement หรือ PP)

ในส่วนของการเสนอขาย RO นั้น ตั้งใจจะเสนอขายเต็มทั้งจำนวนที่มีการเพิ่มทุนรองรับไว้ ซึ่งในส่วนนี้ ทางเครือสหวิริยา ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ได้แสดงความตั้งใจ และความพร้อมที่จะเข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิที่มีอยู่ เพื่อให้การเสนอขายในส่วนนี้ สามารถระดมทุนได้ครบตามจำนวนเงินที่ต้องการ ในส่วนของการเสนอขาย PP บริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในจำนวนไม่เกินประมาณ 2,620 ล้านหุ้น โดยจำนวนหุ้นที่จะทำการเสนอขายจะขึ้นอยู่กับราคา ที่จะทำให้สามารถระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นในส่วนนี้เมื่อรวมกับที่ได้จากการเสนอขาย RO ครบจำนวนตามที่ต้องการ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะเสนอขาย PP ในจำนวนประมาณร้อยละ 75 ของจำนวนหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดหรือที่ประมาณ 1,965 ล้านหุ้น เพราะหากราคาเสนอขาย RO และ PP อยู่ที่ประมาณ 1.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาด ณ ปัจจุบันแล้ว เงินที่ได้จากการการเสนอขาย PP ที่ประมาณ 1,965 ล้านหุ้น เมื่อรวมกับการเสนอขาย RO เข้าด้วยกัน ก็จะทำให้สามารถระดมทุน จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครบเกินกว่าที่ต้องการ

นายวินกล่าวว่ากำหนดการจองซื้อหุ้นและการเพิ่มทุนนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 สอดคล้องกับแผนการกู้เงินซึ่งจะแล้วเสร็จในระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้การเข้าไปซื้อสินทรัพย์เสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสแรกปี 2554 ทำให้ โรงงานถลุงเหล็ก สามารถผลิตเหล็กแท่งแบน ( Slab ) ส่งกลับมาให้ เอสเอสไอ ใช้ได้ภายใน 6 เดือนหลังจากนั้น ทำให้มีความมั่นใจว่าในปี 2555 นี้เอสเอสไอจะสามารถผลิตได้ถึง 3 ล้านตัน และยอดขาย 70,000 ล้านบาท เพราะสามารถผลิตวัตถุดิบได้เองอันจะส่งผลให้บริษัทสร้างสถิติสูงสุดใหม่ในการผลิตนับตั้งแต่เปิดดำเนินการมา

นอกจากนี้ราคาของสินทรัพย์ที่บริษัทจะเข้าทำการซื้อประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ แต่จากการประเมินมูลค่ายุติธรรม ( Fair Value ) เบื้องต้นโดยผู้ประเมินอิสระ คาดว่าคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 820 ล้านดอลลาร์ ส่วนต่างของมูลค่านี้อาจสามารถรับรู้เป็นกำไรจากการซื้อสินทรัพย์ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าประเมินท้ายสุดและความเห็นจากผู้สอบบัญชี

“วัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและเตรียมความพร้อมด้านเงินทุนในการเข้าทำรายการซื้อสินทรัพย์โรงงานถลุงเหล็ก Teesside Cast Products ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายธุรกิจของเอสเอสไอที่มีความต้องการที่จะขยายกระบวนการผลิตไปยังอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กต้นน้ำเพื่อเป็นการสนับสนุนกระบวนการผลิตของเอสเอสไอในปัจจุบันและการก้าวสู่การเป็น ผู้ผลิตเหล็กแผ่นครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน”นายวิน กล่าว

อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว จะเกิดประโยชน์ต่อเอสเอสไอหลายประการ ทั้งเสถียรภาพในการจัดหาวัตถุดิบเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้ปริมาณการผลิตและขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านตันในปี 2555 และส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 5.6 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถเพิ่มสัดส่วน สินค้าชั้นคุณภาพพิเศษจากเดิมร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 70 ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันถึง 15.3 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต ( Inventory Management) ทำให้ลดปริมาณวัตถุดิบคงคลังจาก 60 วันเหลือเพียง 30 วัน ประหยัดดอกเบี้ยจ่ายได้ 150 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบทางเรือต่อหน่วยลดลง 7.5 ดอลลาร์ เนื่องจากสามารถใช้เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ( Panamax ) ขนส่งวัตถุดิบคราวละ 60,000-70,000 ตัน

ที่มา กระแสหุ้น

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

KTB เป้าหมาย 20.20บาท ซื้อไม่เปลี่ยนแปลง

คาดผลประกอบการไตรมาส 4/53 ของ KTB มีกำไรสุทธิ 4,101 ล้านบาท ลดลง 17.9%QoQ เนื่องจากไม่ได้รับเงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์ แต่คาดว่าเพิ่มขึ้น 60.9%YoY เนื่องจากคาดรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มสูงขึ้น ทำให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นด้วย KTB มีเงินกองทุนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม แต่เราประเมินว่าเพียงพอในการทำธุรกิจ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน เราคาดว่า KTB จะมีกำไรสุทธิปี 2553 จำนวน 15,540 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการจ่ายปันผล0.50 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 2.91% KTB เป็นธนาคารที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาล ทำให้ในปี 2554 น่าจะยังได้รับประโยชน์จากโครงการใช้จ่ายของรัฐบาล ให้ราคาเหมาะสม 20.20 บาท ยัง คงแนะนำ “ซื้อ” (refer KKS)

BUY AP เป้าหมาย 8.00 บาท

AP งานในมือระดับสูงช่วยเสริมศักยภาพของรายได้ 4 ปีต่อเนื่อง จากงานในมือ ม.ค .พ.ย 53 ที่มีสถิติสูงสุด 27,019 ล้านบาท สะท้อนผลของยอดขายที่ยังทำได้ดีคาดใน4Q53 ทำได้ 6,000-6,500 ล้านบาท ส่งผลให้ยอด Presale ทั้งปีทำได้ประมาณ 18,500-19,000 ล้านบาท ในปี 54 บริษัทมีแผนเพิ่มกลยุทธ์ทางการตลาด กระจายสินค้าเพิ่มในส่วนของ สินค้า High.End และ Low-End เพื่อเพิ่มความหลากหลายสินค้าเพิ่มเติม ทั้งนี้กรณีดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น จากโฆษณาและประชาสัมพันธ์ราคาที่เหมาะสมปี 54 ที่ 8 บาท (อ้างอิง APER 9.5 เท่า) เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันมี Upside gain 35% นอกจากนั้นคาดบริษัทจ่ายปันผลของผลประกอบการปี53 ได้ 0.35 บาท(จ่ายปันผลปีละ1ครั้ง) ให้ผลตอบแทน Dividend Yield ในระดับ 5.9% แนะนำ .ซื้อ.

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

MCOT มาพร้อมความหวังใหม่ digital tv รายแรกของไทย

บมจ.อสมท.ได้แถลงข่าวหลายครั้งเกี่ยวกับการรุก ดิจิตอลทีวี รายแรกของไทย ซึ่งจะมีการร่วมมือกับค่ายมือถือรายหนึ่ง เพื่อขยายฐานคนดูอย่างมหาศาล ราคาเพิ่งขยับขึ้นมา 28.25 หลังจากไม่หลุดต่ำกว่า 26.50 บาท ราคานี้ถือว่าไม่แพง ปันผลโอเค และอนาคตราคาน่าจะวิ่งไปรับการขยายธุรกิจอีกมาก เป้าหมาย 30 ++ ลองพิจารณากันดู ลงทุนไม่เสี่ยงครับ

DTAC กลับมาอีกครั้งหลัง 3G ชัดเจนขึ้น

ภายหลังข่าวอนุมัติให้ทำ 3G ต่อไปได้ หุ้น DTAC ก็ปรับตัวขึ้นทันที ตั้งแต่เปิดตลาดไปสูงสุด 44.25 แต่มาปิด 43.50 รอดูถ้าผ่าน 45 จุดสูงเดิมรอบ 3 เดือน น่าจะไปต่อได้ถึง 50 บาท

อุตสาหกรรมกุ้งแช่แข็งเป็น uptrend


สำหรับในปีหน้า 2011 ที่กำลังจะมาถึง ใครต้องการลงทุนหุ้นเพื่อรับเงินปันผลงาม ลองมองหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะกุ้งอย่าง ASIAN, SSF, CFRESH, CPF สี่ตัวหลักนี้ซื้อได้หมด ราคาตอนนี้ก็ไม่ถือว่าแพง แต่ตัวที่น่าจะคุ้มค่าสุดคือตัวที่ยังไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลอย่าง SSF, ASIAN ตอนนี้ราคาสร้างฐานอยู่ สำหรับ ASIAN เด่นสุดเพราะไม่จ่ายปันผลมาห้าปี ปีนี้น่าจะจ่ายได้อย่างน้อย 0.50 บาท ราคาตอนนี้ 3.44-3.5 บาท น่าสนใจมาก..ที่จะซื้อเก็บไว้เพื่อรอขายแถว 5.00 บาทหรือมากกว่า รวมเงินปันผลด้วยจะได้ผลตอบแทนมากกว่า 10% แน่นอน